Phuket & I


ตอน: Phuket & I


    ต้นฤดูร้อนปี พ.ศ.2535 ผมมีความคิดขึ้นมาว่าจะไปท่องเที่ยวภูเก็ตกับเพื่อนสนิทกันชื่อ ไอ้จิ๋วก่อนหน้านั้นสามเดือนเราวางแผนกันว่า .. เฮ้ยจิ๋วเราลาพักร้อน ขับรถไปเที่ยวภูเก็ตกันดีกว่า ไม่เคยไปว่ะอยากลองไปดูสักครั้งหนึ่ง ไอ้จิ๋วท้วงผมในบัดดล เฮ้ยมันไกลนะเป็นพันกิโลเชียวมึงจะขับรถไหวเหรอ แต่รับปากว่าไปด้วย โอเคดีเลย งั้นกูไปเขียนใบลาพักร้อนส่งเจ้านายเลยนะ ^^ อารมณ์ตอนนั้นคืออยากไปเกาะภูเก็ตให้ได้ก็เลยเห็นช้างตัวเท่าหมูเพราะระยะทางค่อนข้างไกลและใช้เวลามากทีเดียวอย่างน้อย ๆ ก็ต้องสิบสองถึงสิบสี่ชั่วโมง อีกอย่างเห็นว่ามันน่าท้าทายดี อยากขับรถข้ามสะพานสารสินให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิตอ่ะครับ ก็แบบว่า .. เอาวะไปก็ไป (ฮา) ลองนึกภาพตามกันดูนะครับ ภูเก็ตนั้นเป็นเกาะเราต้องขับรถจากฝั่งพังงาข้ามสะพานสารสินประมาณสัก 1 กม.น่าจะได้กระมัง คือต้องขับรถข้ามไปสู่เกาะภูเก็ตเลยนะครับ แล้วข้างล่างสะพานกับรอบ ๆ ใต้สะพานนี่มันคือมหาสมุทรอันดามันเลยนะ เคยแต่ขับรถข้ามสะพานคลองแสนแสบกันช่วงเช้า ๆ รถติด ๆ น้ำในคลองก็สีดำสนิท เหมือนที่พวกเราขับรถไปทำงานและเจอกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั่นล่ะครับ

     ตอนนั้นไม่มีอะไรในหัวเลย มีแต่จินตนาการครับ นึกภาพถึงเกาะภูเก็ตแล้วก็อืมมม.. (อมยิ้ม) มึงยิ้มอะไรวะบุ๊ง! (อาม๊าตะโกนเรียกมาแต่ไกลขณะที่ผมกำลังนั่งฝันกลางวันเพลิน ๆ ของผมอยู่ที่หน้าทีวี) ไปล้างห้องน้ำให้อั้วหน่อยไป ไปเร็ว ๆ! (ฮา) อ้า .. วิวมันต้องสวยมาก ๆ แน่ ๆ เกาะภูเก็ตต้องเหมือนเกาะฮาวายแน่ ๆ เลยนะครับ เมื่อมาถึงวันที่กำหนดเดินทาง ขณะเตรียมตัวออกจากบ้านผมรีบโทรนัดแนะกับไอ้จิ๋วปรากฎว่า มันเบี้ยวครับไอ้จิ๋วเบี้ยวผมกลางอากาศเลย บอกไปไม่ได้แล้วว่ะกูติดงานด่วน! อ้าว เว้ย เฮ้ย อ๋อ เหรอ เออ ว้า!! (คือตอนนั้นแบบว่าไม่รู้จะอุทานคำว่าอะไรดี เกิดอาการมึนงงเล็กน้อย คว้าเซียงเพียวอิ๊วอาม๊ามาดมซะแทบไม่ทัน) ป๊าดดดด .. งานเข้ากูละทีนี้ ทำอย่างไรต่อไปดีวะเนี่ย ทำไงดี ทำไงดี เฮ้อ ไปภูเก็ตคนเดียวเนี่ยนะ นับเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่ต้องตัดสินใจและเซ็งสุดขีด (นี่กูจะคืนพักร้อนเขาได้มั้ยว่าเนี่ย คือสิ่งแรกที่คิดออกเลยตอนนั้น)

     ลองจินตนาการว่าุคุณเพิ่งจะขับรถเป็นไม่นานแล้วต้องขับรถไปจังหวัดภูเก็ตคนเดียวสิครับว่ามันน่าคิดมากไหม ตอนนั้นก็ถามตัวเองนะว่าจะเราจะ ไปต่อหรือ จะหยุด อยู่บ้านดูหนังในลองวีคเอนดี วันนั้นโกหกเตี่่ยว่าจะไปเที่ยวแค่เพชรบุรีจำได้เลย ลื้อจะเอาน้ำตาลสดไหม ขากลับเดี๋ยวอั็วซื้อมาให้จำได้ว่าบอกแกไปแบบนี้ เก็บเสื้อผ้าเรียบร้อย แปรงสีฟัน, ยาสีฟัน สบู่, ยาดม, ยาอม, ยาหม่อง, ผ้าเช็ดตัว, กางเกงยีน, เสื้อผ้า, หวี (อันนี้ลืมไม่ได้), กูลิโกะ, คาราด้า, มาม่า, แฟนต้า, สไปรท์ กล้วยหอม, ทิชชู, ไฟฉาย งานนี้กูจัดมาเผื่อมึงครบไอ้จิ๋วแต่ดันทะลึ่งไม่ไปด้วย เฮ้อ! คิดแล้วก็กลุ้ม มึงนะมึงทำกูได้ (ฮา)

     เตี่ยมองดูผมปะหลับปะเหลือก แล้วก็เห็นผมเดินไปเดินมาหน้าทีวีหลายตลบ จนอดไม่ไหว .. เฮ้ย! กูเห็นมึงเดินไปเดินมาตั้งท่าตั้งนานแล้วทำไมยังไม่ออกไปอีก เย็นแล้วขับรถยากนะไอ้บุ๊ง ครับ ๆ ไปแล้วครับ (หน้าเจ๋อมากตอนนั้น แบบว่ากูจะเอายังไงดี ไปดีหรือไม่ไปดีน้า ^^) อารมณ์ตอนนั้นกลัวหน้าแตกยับเดี๋ยวหมอไม่รับเย็บเพราะวางแผนมานานแถมคุยโม้ไว้เยอะว่าจะไปนอนพักร้อนตากอากาศริมทะเลเสียหน่อย ก็เลยรีบสวัสดีเตี่ยแล้วก็แอ่นแอ๊น .. ไปก็ไปวะ แต่เนี่ยไปคนเดียวจะไหวไหมวะเนี่ย (เสียงใครคนหนึ่งในหัวผมมันกระซิบกระซาบให้หวั่นไหวอย่างไรไม่รู้ แต่ก็ไม่เชื่อมันและรีบโยนเป้ขึ้นรถทันที) คล้ายแจวเรือออกจากฝั่ง .. เหมือนนกจะบินออกจากรัง

     สุดท้ายไม่ลืมหยิบนาฬิกาคู่ใจขึ้นมาดูเอาฤกษ์เอาชัยเสียหน่อย ออกแม่งห้าโมงเย็นนี่ล่ะสุดยอดละ! (มั่วใช้ได้ไม่ต้องรอถามซินแสที่ไหน) ตัดสินใจออกเดินทางจากปากซอยเพชรเกษม 3 (ซอยเกษจำเริญ) เวลาประมาณห้าโมงเย็นจนได้ (ฮา) แต่ก็แอบเคืองไอ้จิ๋วไม่ได้จริง ๆ กร๊อดดด!!! (ผมกัดฟันเสียงดังถึงบางระจัน 555) .. ปัจจุบันนี้เพื่อนจิ๋วของผมเป็นอย่างไรเหรอครับ ไม่ต้องห่วงครับ มันสบายดี ตอนนี้มันได้ประกอบอาชีพเป็นไกด์ฺพานักท่องเที่ยวชาวจีนเที่ยวเมืองไทยแล้วครับมันได้ชดใช้กรรมของมันเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ ผมอวยพรบอกมันว่า "จิ๋วเอ๊ย" กูขอให้มึงได้ลูกค้าเยอะ ๆ และขอให้ปีหนึ่ง ๆ มึงได้พาลูกค้าไปภูเก็ตสักห้าสิบเที่ยวนะจิ๋วนะ (ฮา)

     สมัยก่อนนั้นเส้นทางลงใต้เป็นสองเลนบ้างสี่เลนบ้าง ส่วนใหญ่เป็นเลนที่ต้องสวนกันคือไปหนึ่งเลนและกลับหนึ่งเลนไม่สะดวกสบายเหมือนสมัยนี้ เวลาแซงรถสิบล้อต่อกันเจ็ดคันนี่ต้องตั้งสติให้ดีห้ามฟั่นเฟือนหรือตาลายโดยเด็ดขาด มือขวาถือพวงมาลัย มือซ้ายถือเอ็มร้อย (แก้ง่วง) .. สมัยนี้มือขวาถือพวงมาลัยมือซ้ายต้องถือนี่เลยไม่ใช่ไฟฉายนะแต่เป็น ไอโฟน(แก้เหงา ๆ 555)

     เท้าขวาผมกดลงบนแป้นคันเร่ง ตามองเพ่งเขม็งไปข้างหน้า มือกำพวงมาลัย (โคตร) แน่น แล้วต้องรีบเร่งแซงรถสิบล้อทั้งเจ็ดคันให้จงได้ในครั้งเดียว บางทีก็แซงได้ บางทีก็แซงไม่ได้ บางทีแซงไปได้ครึ่งขบวนแล้วก็ต้องหยุดแล้วถอยหลังมาตั้งหลักใหม่ เพราะฝั่งที่สวนมาเป็นพี่สิบล้อยักษ์บรรทุกหนักพี่เขาก็พุ่งสวนขึ้นมาเหมือนกัน นี่เลนของพี่น้องจงถอยกลับไปตั้งหลักใหม่เลย ไม่อย่างนั้นอาจเจอลำแสงไฟซุปเปอร์ไซยาพุ่งเข้าตาก็เป็นได้ บวกลบคูณหารแล้วก็ต้องถอยครับสิครับพี่น้อง (ฮา)

     พอแซงไปได้ซักพักประมาณห้านาทีก็ปวดฉี่ครับพี่น้อง คือทำไมมึงต้องมาปวดฉี่ตอนนี้ด้วยวะสมบูรณ์ อันนี้คุยกับตัวเองตอนนั้น เลี้ยวซ้ายเข้าปั้มรีบปฏิบัติภารกิจล้างหน้าล้างตาให้เสร็จ ๆ พอจะเดินขึ้นรถเท่านั้น .. โอ๊หม่ายก๊อดดด! ภาพที่ปรากฎตรงหน้านี่ทำเอาเข่าอ่อนเลยล่ะครับ มันตามมาหลอกหลอนผมอีกครั้งที่ปั้มแห่งนี้ ทำไมหรือครับ .. ก็รถพี่สิบล้อยักษ์ทั้งเจ็ดวิ่งที่ผมเพิ่งแซงไปเมื่อสักครู่นี้ ถึงตอนนี้ได้กรูวิ่งผ่านหน้าปั้มไปเฉยเลยตอนที่ผมเดินออกจากห้องน้ำหลังเสร็จภารกิจแล้ว เฮ็ย! นี่ขนาดเผื่อเวลาขับล่วงหน้ามาก่อนสิบนาทีแล้วนะเนี่ย นี่ผมต้องกลับไปแซงพี่พี่กันอีกรอบเหรอเนี่ย เฮ้อเพลียจัง ^^

     จะถึงภูเก็ตไหมเนี่ยเรา ความยุ่งยากใจของคนที่ไม่เคยขับรถทางไกลและไม่ชำนาญทางเริ่มผุดขึ้นในใจผมอีกครั้ง .. ท่าทางการไปเยือนภูเก็ตครั้งนี้จะไม่ง่ายดายอย่างที่คิดเสียแล้ว (ผมคิดในใจตอนนั้น) หรือว่าเราจะไปเที่ยวแค่ จังหวัดชุมพรก็ดีนะ .. จะเจออีกกี่ขบวนเนี่ย .. เฮ้อ ท้อจริง ๆ

     ผ่านไปเจ็ดชั่วโมงราวเที่ยงคืนผมมาถึงสี่แยกปฐมพรด้วยความเหนื่อยล้า เพราะไม่เคยขับรถไกล ๆ อารมณ์ องุ่นเปรี้ยวมะนาวหวานเริ่มเกิดขึ้นในใจอีกครั้ง เที่ยวชุมพรก็ได้ภูเก็ตเอาไว้วันหลังดีกว่า (ผมเริ่มผลัดวันประกันพรุ่งให้ตัวเอง) ว่าแล้วก็เช็คอินที่บังกาโลหลังหนึ่งในราคาย่อมเยาคืนละ 150 บาท (สมัยนี้สงสัยคงราว ๆ 700-800 บาท) และสลบไปโดยไม่ต้องกดสวิทช์ (ไม่ต้องถามว่าอาบน้ำก่อนนอนหรือเปล่า)

     รู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อแสงอาทิตย์เริ่มสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง เสียงคลื่นทะเลซัดฝั่ง ซู่ ๆ โครมใหญ่ทำผมตกใจตื่นขึ้นเมื่อมองเห็นนาฬิกาตอนนั้นราวเก้าโมงเช้า ผมรีบอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยออกมายืนสูดอากาศบริเวณหาดทรายรี พบเจ้าของบังกาโลคนใต้ผิวคล้ำรูปร่างสันทัดทักทายผมออกสำเนียงภาษาใต้นิด ๆ อย่างอารมณ์ดีว่าไงพ่อหนุ่มจะไปเที่ยวไหนล่ะ ผมบอกด้วยสีหน้ากังวลและไม่ค่อยมั่นใจสถานที่ปลายทางที่จะไปนัก "จะ .. จะไปภูเก็ตครับลุงผมว่ามันสวยมาก ผมเคยเห็นภาพในนิตยสาร อสท.ครับ อยากจะไปเที่ยวที่นี่มานานแล้ว ต้องเดินทางไปอย่างไรต่อครับคุณลุง เพิ่งออกจากกรุงเทพมาเมื่อคืนและมาแวะพักที่ชุมพรนี่ล่ะครับ

     อืมม ดีดี นี่ไปทางนี้ ไปทางแยกปฐมพรนี่ล่ะตรงผ่านจังหวัดระนองแล้วเข้าจังหวัดพังงาก็จะเข้าภูเก็ตพอดี .. ว่าแต่ว่ามันใช้เวลาอีกสักเท่าไรล่ะครับลุง? (ผมถามอย่างกังวลด้วยใจที่พลุ่งพล่านและพองโต) ก็น่าจะราว ๆ สามชั่วโมงได้กระมัง ... ลุงใจดีตอบมา ผมไม่รอช้ารีบโยนกระเป๋าขึ้นรถ ขอบคุณคุณลุงและกระโดดขึ้นรถแล้วทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว ด้วยหวังว่าอีกแค่สามชั่วโมงเท่านั้นผมจะได้พบเห็นเกาะภูเก็ตที่ผมใฝ่ฝันอยากไปมานานเสียที จะได้ขับรถข้ามสะพานสารสินที่มีแต่น้ำทะเลสีครามสดใสเป็นประกายไม่ดำมืดเหมือนคลองแสนแสบอีกแล้ว คิดแล้วก็นะ...

     สามชั่วโมงผ่านไปจากสี่แยกปฐมพรหลังเดินทางขึ้นเขาที่คดลดเลี้ยวระยะ 110 กิโลเมตร พบว่าผมเพิ่งมาถึงจังหวัดระนอง โอ้แม่เจ้า (เฮ้อโดนลุงหลอกแน่ ๆ เลย ฮือ ๆ โดนอีกแล้ว).. ไหนลุงบอกผมว่าอีกสามชั่วโมงก็จะถึงภูเก็ตแล้วไง เราขับรถมาอย่างไม่ลดราวาศอกเลยมาได้แค่นี้เอง ถึงแค่จังหวัดระนองเอง ผมขับผ่านบ่อน้ำแร่ขึ้นชื่อของ โรงแรมจันทร์สมธารา ความคิดหนึ่งมันแล่นผ่านสมองทันที เอ่อ .. อ่า .. เที่ยวเมืองระนองก็ดีน๊า ตัวผมอีกคนกระซิบบอกอยู่ข้างหู อย่าไปต่อเลยเรามาไกลมากแล้ว เหนื่อยแล้ว อยากพักแล้ว เซ็งแล้ว เบื่อแล้ว ชักจะไม่ไหวแล้ว ถ้าอยากไปภูเก็ตวันหลังชวนเพื่อนมาเยอะ ๆ ปีหน้าก็ได้นี่นา ทำไมต้องดันทุรังวันนี้ด้วย

    อยู่อาบน้ำแร่อุ่นๆ ที่นี่ล่ะดีแล้ว.. ผมปลอบตัวเองแบบนั้นซ้ำ ๆ อยู่เสียสิบนาทีเห็นจะได้ แต่ว่่าทะเลมันอยู่ตรงไหน ไปตรงไหนกันล่ะนี่แล้วระนองมันอยู่ตรงส่วนไหนของแผนที่เนี่ย เฮ้องงจัง ไม่ได้วางแผนมาเที่ยวระนอง ไม่ได้เตรียมข้อมูลอะไรมาเลย เอาอย่างไรดี ๆ (มันวน ๆ ในหัวแบบนั้น) เสร็จแล้วก็แวะเข้าปั้มน้ำมันล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นก่อนออกเดินทางต่อ ขณะนั้นได้พบพี่สิบล้อใจดีหน้าดุ๊ดุเลยกัดฟันถามพี่เขาว่า พี่ครับจังหวัดภูเก็ตนี่ไปอีกไกลไหมครับพี่ครับ อ๋อ! (ทำหน้าดุ) ก็อีกประมาณสามร้อยกิโลเมตรเอง (ตอบเสียงห้วน) ใกล้ ๆ เอง (ตอนนั้นในใจอยากพาลุงใจดีที่ชุมพรมานั่งไปด้วยกันจังเลย ไหนบอกว่าใกล้อย่างไร .. ฮึ่มหลอกเราได้นะลุง สามร้อยกิโลเมตรเนี่ยนะใกล้) ครับ ๆ ก็ขอบคุณพี่เขาไป พี่เขาหน้าดุแต่ใจดีนะครับ

    ใจผมนะตอนนั้นยอมแพ้กับระยะทางแล้วครับ กะว่าจะหลอกตัวเองเดินเที่ยวเมืองระนองสักครู่ เอาขาไปจุ่มน้ำทะเลสักแอะ จับหอยสักสองตัว รับประทานอาหารกลางวันเสร็จแล้วหลังจากนั้นก็ตั้งใจจะขับรถกลับกรุงเทพเลย อันที่จริงผมหันหัวรถและกลับรถเตรียมเข้ากรุงเทพแล้วครับ เมื่อมาถึงปากทางออกของปั้มน้ำมัน เลี้ยวซ้าย กรุงเทพ เลี้ยวขวา พังงา-ภูเก็ต ผมชั่งใจอยู่นานกับระยะทางสามร้อยกิโลเมตรข้างหน้ากับการเดินทางกลับบ้านแล้วตอนนั้น แค่ขับไปภูเก็ตและกลับมาที่ระนองนี่ก็ปาเข้าไปหกร้อยกิโลเมตรแล้ว แต่ถ้าเริ่มต้นจากนี่แล้วกลับกรุงเทพเลย ระยะทางก็จะพอ ๆ กัน

    และแล้วเสียงหนึ่งในตัวผมก็บอกกลับผมว่า ..
    แล้วมึงจะขับมาตั้งไกลเพื่ออะไร
    แล้วเมื่อไรมึงจะมาอีก
    แล้วจะยอมแพ้กลับบ้านไปแบบนั้นหรือ
    แล้วจะบอกเพื่อนว่าภูเก็ตสวยงามแค่ไหนอย่างไร
    แล้วต่อไปจะทำอะไรสำเร็จไหม
    แล้ว .. โอเค โอเค ไม่ต้องชวนทะเลาะ ไปก็ได้ ไปก็ได้ว๊อย ผมตัดสินใจหักเลี้ยวขวาแล้วบ่ายหน้าเข้าสู่ภูเก็ตโดยไม่มองกลับไปที่กระจกหลังอีกเพราะไม่อยากทะเลาะกับตัวเองอีกคนเพราะที่จริงมันชวนผมทะเลาะกันมาตั้งแต่อยู่กรุงเทพแล้ว (ฮา)

    สามชั่วโมงต่อมา ผมขับผ่าน ตะกั่วป่าและท้ายเหมือง ผมเริ่มขับรถลัดเลาะสันเขาเรียบชายฝั่งภูเขามาเรื่อย ๆ และเป็นจุดแรกที่เริ่มเห็นมหาสมุทรอันดามันเป็นครั้งแรกในชีวิต สำหรับเด็กกรุงเทพวัยทำงานแรกรุ่นที่ไม่เคยเดินทางไกล เพิ่งขับรถเป็นไม่นานและประสบการณ์ไม่มีเลย ขณะนั้นต้องบอกเลยว่ามันช่างตื่นตาตื่นใจมากจริง ๆ ครับ เหมือนเราทำบางอย่างใกล้สำเร็จแล้ว

    อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมาจำได้คลับคล้ายคลับคราว่าเวลานั้นเกือบ 18.00 น. ผมกดคันเร่งลงไปอีกเล็กน้อยเพื่อไปให้ทันพระอาทิตย์ตกดินที่สะพานสารสินให้จงได้และเพื่อไม่ให้พลาดโอกาสในการมาเยือนเมืองไข่มุกอันดามันครั้งแรกของชีวิต ตอนนั้นทั้งตัวและรถที่ผมขับอยู่นั้นมันช่างเบาหวิวเหมือนล้อไม่ได้แตะพื้นอย่างไรอย่างนั้น ไม่ได้ขับเร็วมากนะครับแต่รถมันลอยตัวมันลอย ใจของเรามันไปถึงเส้นชัยเสียแล้ว มันถึงสะพานสารสินก่อนตัวผมเรียบร้อยแล้ว

    ไชโย! มาถึงแล้ว .. เราทำสำเร็จแล้ว เย้!

    แล้วผมก็มาถึงสะพานสารสินจนได้ .. นี่หรือสะพานสารสิน แล้ว .. ข้างหน้านี่หรือคือเกาะภูเก็ต เมืองชายฝั่งเมืองในฝันที่มีชื่อเสียงติดอันดับโลกที่เราเคยอยากมาตั้งแต่เป็นเด็ก ๆ

    หัวใจผมพองโตด้วยความดีใจแล้วขี้ผงก็เข้าตาจนได้ (อันนี้ไม่ได้ดราม่านะของจริงและไม่ได้ใช้น้ำตาเทียมด้วยสะพานสารสินยืนยันได้ 555) ผมยกมือซ้ายค่อย ๆ ปาดเอาน้ำน้อย ๆ ออกจากดวงตาที่อยู่ดีดีมันก็ซึมออกมาเฉย ๆ คงบังเอิญกระมังที่ผมโชคดีได้ทำภารกิจเล็ก ๆ นี้ได้สำเร็จ

    ผมเริ่มขับรถนิสสัน FF สีขาวคันเก่าข้ามสะพานสารสินด้วยความประทับใจเป็นครั้งแรกแล้วขับไล่เรื่อยไปจนเข้าสู่ตัวเมืองจังหวัดภูเก็ต ก้าวแรกที่ลงภูเก็ตผมดิ่งตรงเข้าไปยังร้านอาหารชื่อดังรับประทานอาหารท้องถิ่น โลบะ อาหารพื้นเมืองของชาวภูเก็ตในทันที แบบว่าทำการบ้านมาก่อนแล้วว่าต้องไปรับประทานอาหารพื้นเมืองแบบนี้ได้ที่ร้านไหนและตรงไหน

    ผมได้ไปขับรถเที่ยวหาดป่าตอง หาดกะรนและหาดกะตะ สามชายหาดชื่อดังที่เห็นในหนังสือ อสท. ผมขับรถลัดเลาะไปตามชายฝั่งเลียนแบบตามหนังภาพยนตร์ในอดีตที่เคยดูในวัยเด็กได้ตามที่ตั้งใจไว้จริง ๆ อันที่จริงผมขับรถวนมันไปรอบเกาะเลยตั้งแต่หาดบางเทา, หาดไม้ขาว, หาดสุรินทร์, หาดราไวย์, แหลมพรหมเทพ, อ่าวฉลอง ไล่เรื่อยไปทั้งเกาะ เป็นประสบการณ์ที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งของชีวิตที่วัยรุ่นคนหนึ่งได้รับในตอนนั้นและผมยังได้ฝ่าแรงต้านบางอย่างในใจออกไปอีกด้วย นั่นคือ การต่อสู้อย่างลำพังได้โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร

    แค่ขับรถไปเที่ยวภูเก็ตเอามาเล่าทำไมอ่ะลุงแจ็คกี้ ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจเลย.. ผมเชื่อว่าบางคนแอบถามอยู่ในใจ ลุงมันเอาเรื่องพวกนี้มาเล่าทำไมไม่เห็นจะน่าสนใจตรงไหนเลย แค่ขับรถไปเที่ยวภูเก็ต .. ซึ่งมันก็จริงที่สุดครับและยอมรับเลยครับ เพียงแต่ .. 

    ผมแค่อยากฝากเรื่องประทับใจของผมนี้บันทึกเอาไว้ใน Webboard ของผมและ Blue Planet เพื่อให้เพื่อน ๆ น้อง ๆ ที่วันหนึ่งบังเอิญได้ผ่านเข้ามา ได้เล็งเห็นถึงความตั้งใจและความเชื่อมั่นที่ซ่อนอยู่ในใจของมนุษย์อย่างพวกเรานะครับ ยังมีอีกหลายคนที่เคยคิดว่าอยากจะทำโน่น อยากจะทำนี่ แต่ก็ได้แต่ฝันและถึงวันนี้ก็ไม่ได้ทำเสียที หรือบางคนที่คิดว่ามันทำไม่ได้หรอก .. มันเป็นไปไม่ได้หรอกหรืออาจเคยมีใครบางคนเคยบอกคุณ เตือนคุณ หวังดีกับคุณว่า อย่าทำอะไรโง่ ๆ เลย อย่าไปเลยนะภูเก็ตมันอันตราย มันไกลมาก มันเสี่ยงนะ มันไม่ไหวหรอก ซึ่งนั่นก็จริงที่สุดอีกเหมือนกัน

    บางทีนะ ผมหมายถึงบางทีและบางคน อาจพบว่าวันหนึ่งเมื่อคุณชรา คุณจะยังคงปักหลักอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน คุณจะทำอะไรแบบเดิมๆ ไม่เคยเปลี่ยนแปลงอะไร ไม่เคยได้พบโลกใบใหม่ ไม่เคยได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ และจะไม่เคยได้ไปไหน เพราะคุณไม่เคยกล้าที่จะเสี่ยงเลยในชีวิตนี้

    ชีวิตบั้นปลายของอีกหลายคน ดูเศร้าครับ เงียบ บางทีเหงา คุณบางคนจะถามตัวเองซ้ำ ๆ ว่าทำไมคุณจึงเหงาและเดียวดาย ไม่มีอะไรให้ทำ ทุกวันตื่นขึ้นมาจะมีเพียงทีวีเครื่องเดียวที่เป็นเพื่อนสนิทของคุณ บางทีการปล่อยให้ชีวิตได้ เสี่ยงบ้างในบางเรื่องที่ไม่ใช่การพนันขันต่อ แต่เป็นการ เสี่ยง ที่จะยอมลงทุน พลังชีวิตเพื่อแลกกับ ความฝันบางอย่างในใจของคุณ มันอาจนำพาคุณให้หลุดพ้นจากพันธนาการบางอย่างไม่ช้าก็เร็ว 

    ผมขับรถมุ่งหน้าออกจากเกาะภูเก็ตข้ามสะพานสารสินออกมาเมื่อยี่สบหกปีก่อน เสียงที่เคยขัดแย้งในหูของผม เสียงของคนสองคนในตัวของผมที่ต่อสู้กันมาตลอดเส้นทางจากกรุงเทพนั้นได้หายไปแล้ว คงเหลือแต่เพียงเสียงเดียวที่ก้องอยู่ในหูจากวันนั้นถึงวันนี้ก็คือ ต่อไปนี้ไม่มีอะไรที่เราจะทำไม่สำเร็จอีกแล้ว

    ถ้าคุณเชื่อมั่นในสิ่งที่คุณเป็นและคุณมีปณิธานที่แน่วแน่และหวังอยากให้มันเป็น คุณก็จะได้เป็นแต่ถ้าคุณยังไม่เคยศรัทธาในตัวคุณเอง ให้ลองดูครับค่อย ๆ ก้าวออกไปทีละก้าว ทีละก้าว อย่างมั่นคงไม่ต้องรีบร้อน ผมเดินทางไปภูเก็ตด้วยความยากลำบาก สำหรับคนที่ไม่เคยเดินทางไกล ไม่มีประสบการณ์ในการขับรถมากนัก และเพิ่งขับรถเป็นใหม่ ๆ ถนนก็แค่สองเลนเท่านั้น มันไม่ง่ายเลยนะ ลองถามคนรุ่นเก่า ๆ ดูว่าจริงไหม ขับรถลงภาคใต้สมัยก่อนนั้นเป็นอย่างไร ทุกลักทุเลแค่ไหน

    ผมเองก็เหมือนกับคนทั่วไป ต้องกินข้าว ต้องนอน ต้องทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัวเหมือนคนทั่วไป มีความท้อแท้เป็น บางทีก็อยากท้อถอย อยากเลิก อยากล้ม อยากพัก อยากยุติ บางทีก็สิ้นหวังได้เหมือนกับทุก ๆ คนนั่นล่ะครับ แต่เมื่อวันใดก็ตามที่คุณเดินมาถึงจุดที่คุณมุ่งหวังหรือจุดหมายปลายทางที่คุณได้เคยตั้งใจไว้แล้วมองย้อนกลับไป คุณอาจพบว่าปัญหาบางอย่างที่คุณเคยพบมันไม่ได้ยากเย็นอย่างที่คุณเคยคิดเลย
    สิ่งที่คุณทำบางเรื่องถึงจะประสบความสำเร็จแม้เพียงเล็กน้อยแต่นั่นก็เรียกว่า วามสำเร็จไม่ใช่หรือ

    ทุกวันนี้ผมยังรู้สึกขอบคุณลุงใจดีเจ้าของบังกาโลแห่งหนึ่งที่ชุมพรที่มองเห็นความตั้งใจจากแววตาและหน้าตี๋ของผมและผลักดันทำให้ผมไปถึงจุดหมายให้ได้และพี่สิบล้อใจดีหน้าดุซึ่งบอกผมว่า แค่สามร้อยกิโลเมตรเองพี่ขับกันเป็นพันพันกิโลเมตรนะน้อง ภูเก็ตอยู่ใกล้ ๆ แค่นี้เอง

    ถ้าให้เปรียบทียบเหรอ ชุมพรวันนั้นมันเหมือนจุดที่วัดใจของเราว่าเราแน่วแน่แค่ไหนและเราเอาจริงไหม ส่วน ระนอง คือจุดเปลี่ยนผันของชีวิตมันเปลี่ยนเราจากความกลัวสู่ความกล้าหาญและสุดท้าย เกาะภูเก็ต มันคือ The Miracle of Life ของชีวิต มันคือรางวัล มันบอกเราและมันสอนเราว่า ไม่มีอะไรที่ได้มาง่าย ๆ โดยที่คุณไม่เดินไปหามัน ผมเชื่อแบบนั้น

เห็นไหมครับแค่อ่านให้ถึงตอนจบยังยากเลยใช่ไหมครับ ^^
จะมีสักกี่คนกันที่อ่านบทความกระจ้อยร่อยที่ไร้ค่าของผมจนถึงบรรทัดสุดท้ายนี้ .. ขอบคุณที่อ่านและขอให้คุณโชคดีผ่านทุกปัญหาในชีวิตนี้ครับ
by Jackie Blue