วันนี้ที่กวางเจาผมและครอบครัวได้แวะมาเยี่ยมอากู๋ของภรรยาผม แกมีลูกชายสองคนแต่งงานแล้วหนึ่งคน อีกคนยังโสดอยู่ ทำงานแล้วทั้งคู่ครับ ผมพาครอบครัวของอากู๋ไปรับประทานอาหารค่ำด้วยกันที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง เพื่อเลี้ยงฉลองปีใหม่ 2013 ด้วยกัน อันที่จริงต้องบอกว่าอากู๋พาไปจึงจะถูก
อากู๋ท่านมีฐานะปานกลางไม่ได้ร่ำรวยอะไรดูเป็นครอบครัวที่อบอุ่นมาก ๆ ครับ อากู๋วัย 70 เดินเร็วกว่าผมสัก 3 เท่า พาภรรยาขึ้นรถเข็นพร้อมหลานสาววัยห้าขวบอีกหนึ่งคน แกไม่ยอมให้ผู้ใดช่วยเข็นรถแม้กระทั่งตัวผมที่ขันอาสาก็ตามที ใบหน้าของอากิ๋มเปื้ิอนยิ้มแถมยังใจดี ไม่ลืมติดเอาส้มใส่ถุงมาฝากลูกชายตัวแสบของผมอีกด้วย ขณะที่ต้องเอาหลานสาววางบนตักส่วนตัวนั้นนั่งในรถเข็น.. อากิ๋มเดินไม่ได้นานนักเพราะแกเป็นมะเร็งปอดลุกลามระยะสุดท้ายครับมันลามไปถึงกระดูกสันหลัง จนปวดหลังเวลาต้องเดินไกล ๆ
ลูกชายทั้งสองกับพ่อช่วยกันเข็นรถเข็นพาแม่กลับคอนโดหลังรับประทานอาหารค่ำเสร็จอย่างมีความสุขและดีใจที่ได้พบเจอกับพวกเรา ผมเดินตามหลังทั้งสองด้วยอารมณ์สุดบรรยาย ในสมองบอกกับตัวเองว่านี่แม่ของเขากำลังจะจากโลกนี้ไปจริง ๆ หรือ ครอบครัวนี้ขอบอกครับว่าสมถะและอบอุ่นจริง ๆ และอาจผิดกับอีกโลกหนึ่งที่พวกเราบางคนอาจเคยพบพานมา พ่อ, ลูก และ แม่ที่กำลังจะจากพวกเขาไปในเร็ววันนี้ ส่วนอากิ๋มนั้นแข็งแกร่งมากผมไม่ได้เห็นน้ำตาของเธอเลย ตัวเองนี่สิกลับรู้สึกอ่อนแอกว่าคนแก่ทั้งสองท่านนี้เสียอีก
ปีใหม่นี้อยากแชร์ประสบการณ์ให้กับเพื่อน ๆ กันนะครับ ;เงินทองที่เราไขว่คว้าหากันแทบเป็นแทบตาย บางครั้งมันอาจมีค่าไม่เท่ากับหนึ่งในอสงไขยของการที่พวกเราได้ใช้ชีวิตร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคนที่เรารักเพียงเสี้ยวนาทีเลย
ใครบางคนอาจเคยได้ยินว่า ผมจะรักและดูแลผู้หญิงคนนี้ไปจนวันตาย ในงานวิวาห์หลาย ๆ แห่ง ผมว่าอากู่นี่แหละคือผู้ชายคนนั้นครับ
ส่วนปีใหม่แล้วใครที่มีทุกข์ก็ขอให้ดูอากู๋อากิ๋มนี้เป็นตัวอย่าง เขารู้ดีถึงสัจจธรรมแห่งความเป็นมนุษย์และเขาก็เดินหน้าใช้ชีวิตช่วงที่เหลือกับคนที่เขารักอย่างคุ้มค่าและอบอุ่นเวลาแห่งความสุขจึงเป็นสิ่งที่ เงิน ไม่มีวันซื้อมันได้ครับ ...
หมายเหตุ: ความรู้สึกนี้แว๊บเข้ามาว่าต้องเขียนเรื่องนี้ตอน 00.13 ของวันที่ 1 มกราคม 2013 ขอมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับใครหลาย ๆ คนที่ผ่านมาตรงนี้ครับ
Jackie Blue