เกี่ยวกับสารทดแทน R134a


R1234yf คืออะไร? แล้วทำไมต้อง R1234yf? หลายคนสงสัยกันว่าสารทำความเย็นในกลุ่ม High Temperature นี้เข้ามาได้อย่างไรแล้วมีความจำเป็นอย่างไร ไปดูกันครับ

ย้อนกลับไปช่วงปลายศตวรรษที่ 20 สารทำความเย็น R12 หรือ CFC12 เป็นสารทำความเย็นสำหรับแอร์รถยนต์, ตู้เย็นตู้แช่ และ ระบบชิลเลอร์ (รุ่นเก่า) ที่ไม่มีใครไม่รู้จักเลยกระมัง สารทำความเย็นชนิดนี้มีจุดเดือด -29.8 องศาเซลเซียส มีค่า ODP (ค่าการทำลายชั้นโอโซน = 1 เมื่อ R11 = 1 และมีค่า GWP (ค่าการสร้างภาวะเรือนกระจก 10900 เท่าของคาร์บอนไดออกไซด์หรือ CO2)

ดูดี ๆ นะครับสำหรับคำว่า ODP กับ GWP

ODP (Ozone Depletion Potential, สนธิสัญญามอนทรีออล) นี้เขาจะเทียบกับสารทำความเย็น CFC11 หรือสาร ODS ชนิดแรกของโลกว่าด้วยเรื่องของการทำลายชั้นบรรยากาศโลกหรือชั้นโอโซน

GWP (Global Warming Potential, สนธิสัญญาเกียวโต) 
นี้เขาจะเทียบกับคาร์บอนไดออกไซด์หรือ CO2 เนื่องจาก CO2 นี้เป็นตัวปิดกั้นรังสี UV ไม่ให้สะท้อนออกไปสู่นอกโลก เปรียบเหมือนเรือนกระจกที่ครอบดักความร้อนเอาไว้ ลองจินตนาการตามนะครับ นึกถึงรถที่มีหลังคาซันรูฟไม่ติดฟิล์ม หลังคาเป็นกระจกที่จอดรถตากแดดไว้ที่ลานจอดรถนาน ๆ และไม่ได้เปิดแอร์ พอเข้าไปในรถก็แบบว่า "ร้อนตับแตกต้องรีบสตาร์ทรถเปิดแอร์" นั่นเลยครับ "ภาวะโลกร้อน" ที่ผมพยายามอนุมานให้ใกล้เคียงที่สุด

ว่ากันต่อเลยนะ พอปี 1996 ก็ต้องยกเลิกสารทำความเย็น R12 สารทำความเย็น R134a หรือสาร HFC134a เริ่มเข้ามาแทนที่ ด้วยค่า ODP = 0 คือไม่ทำลายชั้นโอโซนเลย และ GWP = 1430 เท่าของคาร์บอนไดออกไซด์ น้อยกว่า R12 = 7.62 เท่า เป็นอะไรที่เจ๋งสุด ๆ เวลานั้น ทว่ายุ่งยากหน่อยต้องเปลี่ยนน้ำมันคอมเพรสเซอร์เป็นแบบชนิด POE (Polyol Ester) แทนน้ำมันคอมชนิดเดิม MO (Mineral Oil) ที่ใช้ในระบบ R12 ขนาดของโมเลกุล R134a ที่เล็กกว่านั้นสามารถเล็ดรอดออกจากท่อยางในระบบแอร์รถยนต์ได้อย่างง่ายดาย สมัยนั้นจึงมีข้อสงสัยมากมายว่าเติม R134a แทนในระบบเดิมแล้วน้ำยาหาย! เพราะความพรุนของวัสดุที่ใช้ (ท่อยาง) ไม่เหมาะสมกับขนาดของโมเลกุลของน้ำยาแอร์ชนิดนี้นั่นเอง

ทำท่าเหมือนจะเป็นพระเอกดาวค้างฟ้า ผ่านมายังไม่ถึงยี่สิบปีดีดัก ก็ถูกกล่าวหาว่าสร้างภาวะเรือนกระจกขึ้นมาอีก สำหรับ R134a นี้ อ้าว! ทีแรกตอนเข้ามาใหม่ ๆ ทำไมไม่พูดถึงเรื่อง GWP ของ R134a ด้วยเล่า พูดถึงแต่เรื่องของการไม่ทำลายโอโซน แล้วทำไมจึงไม่ผลิตตัวที่ไม่ทำลายโอโซนด้วย ไม่สร้างภาวะเรือนกระจกด้วยออกมาพร้อม ๆ กันเลยเล่า คำตอบก็คือ มันเป็นวิวัฒนาการครับ อีกอย่างถ้าผู้ผลิตพูดทั้งสองเรื่องพร้อมกัน ผู้บริโภคก็จะยิ่งสับสนขึ้นไปอีกนะครับ ดังนั้นในขณะนั้นเขาจึงบอกเพียงแค่ว่า R134a หรือ HFC134a นี้ทำลายชั้นโอโซนเพียงเท่านั้น

มาถึงพระเอกคนใหม่แกะกล่องมาแต่ไกลคนนี้เลย R1234yf (GWP=4) ที่เดินจับมือออกมากับน้องชายคนเก่งอีกคน R1234ze (GWP<1) งานนี้เรียกว่าช็อควงการกันเลย เพราะเป็นการพัฒนาซอฟแวร์ให้เจอกับฮาร์ดแวร์ที่เจ๋งที่สุดของ Honeywell เจ้าของสิทธิบัตรที่คิดค้นมาถึงตอนนี้ก็ได้ราว ๆ 7 ปีเต็มแล้ว

R1234yf นี้มีอะไรดี

เป็นสารประเภท HFOs (Hydrofluoroolefin) ผมคิดว่าคุณคงอยากให้ผมแปลแน่ ๆ ว่าอ่านว่าอย่างไร อ่านว่า "ไฮโดร-ฟลูออโร-โอเลฟิน" ครับ แค่อ่านชื่อก็เล่นเอาหอบซะแล้วนะครับ

ข้อดีอันแรกที่ผมเห็นมันก็คือ R1234yf (HFOs) นี้มีจุดเดือด -29 องศา C สามารถใช้ทดแทน R134a (HFCs) ได้แบบ Suddenly (ทันทีทันใด) เมื่อ R134a มีจุดเดือด -26.1 องศา C ส่วน R12 (CFCs) มีจุดเดือดที่ -29.8 องศา C ตามลำดับ

ทีนี้มาถึงหัวข้อสุดท้าย ผมจะเปรียบเทียบให้ดูวิทยาการของสารทำความเย็นหรือน้ำยาแอร์กันเล่น ๆ สักสองเบอร์นะครับที่เป็น
กลุ่มสาร A2L (ติดไฟได้เล็กน้อย) คุณผู้อ่านก็จะได้เห็นถึงข้อแตกต่างนะครับ แต่เบื้องต้นให้มองแบบที่ผมมองก่อนจะไปกันต่อ อย่าเพิ่งเบื่ออ่านนะจะจบแล้วครับ

สารทำความเย็น = Software
เครื่องปรับอากาศ, เครื่องทำความเย็น = Hardware

แบบที่ 1: การปรับ Hardware ให้เจอกับ Software
ก่อนหน้านี้เรารู้จัก R32 ที่นำมาใช้กับแอร์บ้านใช่ไหมครับ สังเกตไหมครับทำไมเราจึงนำ R32 ไปเติมในแอร์บ้านรุ่นเก่าอย่างระบบ R22 ไม่ได้ นั่นก็เพราะ Software R32 ชนิดใหม่นี้มีแรงดันไอมากกว่า Software ชนิดเดิมคือ R22 เขาจึงต้องออกแบบระบบเครื่องปรับอากาศแบบใหม่ขึ้นมาแทนเพื่อให้รับแรงดันและทำการแลกเปลี่ยนความร้อนให้สัมพันธ์กับน้ำยาแอร์ชนิดใหม่คือ R32 นั่นเองครับ

แบบที่ 2: การปรับ Software ให้เจอกับ Hardware
มาถึงตอนนี้คุณรู้จัก Software อย่าง R1234yf กันแล้วนะครับ ปัจจุบันนี้รถยุโรปและรถอเมริกันหลายแบรนด์กำลังต่อสู้กับภาวะโลกร้อน เขาได้เริ่มนำ R1234yf มาใช้กับรถยนต์และ R1234ze ก็ไปใช้ในกลุ่มตู้เย็นและตู้แช่ครับ แบบที่ 2 นี้ไม่ใช่สารติดไฟรุนแรงเป็น A2L คล้าย R32 แต่เป็นการปรับ Software ให้เจอกับ Hardware

ยกตัวอย่างนะครับใน Bentley Bentaga, Porsche Boxster, Ford Mustang ที่นำเข้าจากต่างประเทศขณะนี้ส่วนใหญ่ล้วนใช้ R1234yf แทน R134a กันแล้วนะครับ เพราะประชาคมโลกทางฝั่งยุโรป เริ่มรณรงค์เรื่องการลดภาวะโลกร้อนกันอย่างจริงจังที่สำคัญมันลดภาวะโลกร้อนได้มากกว่า R134a ถึง 357.5 เท่า ในแบบที่สองนี้

ผู้ผลิตค่ายรถยนต์ต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องปรับเรื่องของ Piping หรือเพิ่มขนาดของท่อน้ำยาภายในรถยนต์ให้หนาขึ้นหรือแม้แต่ส่วนหนึ่งส่วนใดเลย นอกจากอุปกรณ์ฟิตติ้งเพื่อไม่ให้เติมน้ำยาผิดเบอร์ น้ำมันคอมเพรสเซอร์ก็ยังใช้ได้เช่นเดียวกันคือ POE เหมือนในระบบ R134a ทั่วไปอีกด้วย ดังนั้นเมื่อถึงคราที่ต้องเปลี่ยนน้ำยาแอร์ไปเป็น R1234yf และรถคุณยังใช้งานได้ดีอยู่ จึง "ไม่ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์ใด ๆ" หรือ "ไม่ต้องซื้อรถคันใหม่" นะครับ แค่ Vacuum ออกแล้วก็เปลี่ยนน้ำยาเป็น R1234yf นี้ได้ทันที

ข้อเสียของ R1234yf ประมาณ 5 พันบาทต่อกิโลกรัม แน่นอนคุณไม่ได้ตาฝาด ด้วยกำลังการผลิตที่มีจำกัดและดีมานด์ที่กำลังขึ้นเขา ขณะที่ซัพพลายบางเบา อย่างน้อยในสองปีนี้ราคายังสูงมากครับ ผมคำนวณคร่าว ๆ ว่าภายใน 3 ปีราคาจะลดลงมาอยู่ระดับ 1 พันบาทต่อกิโลกรัม (จากประสบการณ์นะอาจจะผิดก็ได้)

*** ข้อเสียอีกเรื่องก็คือ "เมื่อเข้าสู่ยุคเปลี่ยนถ่ายน้ำยา" กระแสมาแรง R134a ไปเป็น R1234yf ผู้บริโภคคนสุดท้ายมีความเสี่ยงมาก ๆ ที่จะโดนหลอกนะครับ คือคิดตังค์ราคา R1234yf แต่ได้ R134a มาใส่รถของคุณ อะไรประมาณนี้

จึงขอแนะนำให้ซื้อสินค้าชนิดนี้จากหน่วยงานหรือองค์กรที่มีอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องเทสน้ำยาให้ดูก่อนตัดสินใจจ่ายสตางค์กัน ส่วนใครที่สนใจอยากซื้อเครื่องเทสน้ำยาหรือเครื่อง GC (Gas Chromatography) แบบพกพานี้ โทรไปสอบถามได้ที่ APL Asia ที่คุณเลิศศักดิ์ได้เลยครับ

ยาวครับแต่รับรองว่าคุ้มสำหรับคนที่อ่านฟอรัมนี้จนจบ

ขอโทษทีครับป๋าดิลก .. เพิ่งรีวิวสำเร็จครับ รับปากมาเกือบเดือนขอโทษอย่างแรงครับ

ขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ติดตามครับ

by Jackie Blue
www.blueplanet.co.th